วันอังคารที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2558


สัตว์ทะเลที่มีพิษ
ท้องทะเลไทยนับว่าเป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเลหลากหลายชนิด คนไทยได้นำสัตว์ทะเลเหล่านี้มาบริโภคเป็นอาหารกันเป็นเวลาช้านาน แต่ก็มีสัตว์ทะเลหลายชนิดที่ไม่สามทารถนำมาบริโภคได้เนื่องจากมีพิษ และบางชนิดที่ไม่มีพิษต่อการบริโภค แต่จะเป็นอันตรายหากไปสัมผัส หรือไปอยู่ในบริเวณที่มีสัตว์ทะเลเหล่านั้นชุกชุม
อันตรายจากสัตว์ทะเลแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่มดังนี้
1.อันตรายจากสัตว์ทะเลที่มีพิษ กัด ทิ่มแทง หรือต่อย (venomous animals) และปล่อยสารพิษเข้าสู่ร่างกายตรงบริเวณบาดแผลนั้น พิษของสัตว์ทะเลอาจอยู่ที่เงี่ยง ก้าน ครีบ เขี้ยว และมีเข็มพิษที่เรียกว่า นีมาโตศีย์สต์ (nematocyst) ตัวอย่างได้แก่ ดอกไม้ทะเล แมงกะพรุน งูทะเล ปลาสิงโต และเม่นทะเล

ดอกไม้ทะเล (Sea anemone)
ดอกไม้ทะเลเป็นสัตว์ทะเลที่มีลำตัวอ่อนนุ่ม ด้านปากมีหนวดเรียงรายอยู่รอบปาก ด้านล่างเป็นฐานยึดเกาะอยู่กับก้อนหิน ก้อนปะการัง หรือฝังตัวลงในพื้นทะเลบริเวณดินเลนหรือดินทราย ดอกไม้ทะเลเป็นสัตว์ที่ดำรงชีวิตแบบเดี่ยว ไม่มีการสร้างหินปูนเป็นฐานรองรับโพลิปเหมือนปะการัง   โพลิปดอกไม้ทะเลมักมีขนาดใหญ่ บางชนิดมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 30 เซนติเมตร มักพบอาศัยอยู่ตามแนวปะการัง เมื่อสัมผัสหนวดของดอกไม้ทะเล นีมาโตศีย์สต์จากหนวดของดอกไม้ทะเล จะทำให้เกิดผื่นแดงและคันบริเวณที่สัมผัส ถ้าอาการรุนแรงมากจะทำให้เกิดอาการบวมแดง มึนงง คลื่นไส้ อาเจียน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับภูมิต้านทานของแต่ละคน
การรักษา การปฐมพยาบาลในเบื้องต้น ให้ใช้น้ำส้มสายชูล้างแผล และพยายามล้างเอาเมือก และชิ้นส่วนของหนวดดอกไม้ทะเลออกให้หมด ถ้าผู้ป่วยมีอาการทรุดลงให้นำส่งแพทย์โดยด่วน

แมงกะพรุน (Jelly fish)
แมงกะพรุนทั่วไปมีรูปร่างคล้ายร่ม หรือ กระดิ่งคว่ำ (medusa) ลำตัวโปร่งแสงประกอบด้วยวุ้นเป็นส่วนใหญ่ ดำรงชีวิตโดยการว่ายเวียนและล่องลอยไปตามกระแสน้ำและแรงพัดพาของคลื่นลม อาหารที่แมงกะพรุนกินได้แก่ ปลา ครัสเตเซียน และแพลงค์ตอนอื่นๆ บริเวณหนวดและแขนงที่ยื่นออกมารอบปากมีเข็มพิษนีมาโตศีย์สต์ ใช้ฆ่าเหยื่อหรือทำให้เหยื่อสลบก่อนจับกินเป็นอาหาร ปริมาณของนีมาโตศีย์สต์อาจมีจำนวนถึง 80,000 เซลล์ใน 1 ตารางเซนติเมตรเท่านั้น ภายในนีมาโตศีย์สต์ มีน้ำพิษที่เป็นอันตรายทำให้เกิดอาการคัน เป็นผื่นบวมแดงเป็นรอยไหม้ปวดแสบปวดร้อน และเป็นแผลเรื้อรังได้ ขึ้นอยู่กับแมงกะพรุนแต่ละชนิด บางรายทำให้เกิดอาการจุกแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก กระสับกระส่าย นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย เป็นไข้ บางรายถึงเสียชีวิต โดยทั่วไปเรียกแมงกะพรุนมีพิษว่าแมงกะพรุนไฟ
การป้องกันและรักษา การป้องกันการถูกแมงกะพรุนไฟ คือ การหลีกเลี่ยงลงเล่นน้ำทะเลบริเวณที่มีแมงกะพรุนชุกชุม หรือ ช่วงหลังพายุฝน เพราะจะมีกระเปาะพิษของแมงกะพรุนหลุดลอยไปในน้ำทะเลแม้จะไม่ได้สัมผัสกับแมงกะพรุนโดยตรงก็ตาม
การเกิดพิษเมื่อถูกแมงกะพรุน กระทำได้โดยใช้น้ำส้มสายชูล้างแผลเพื่อไม่ให้นีมาโตศีย์สต์ปล่อยน้ำพิษภายในกระเปาะออก หลังจากนั้นควรรีบปรึกษาแพทย์ ตำรา ยากลางบ้านที่มักใช้กัน คือ นำใบผักบุ้งทะเลบดแล้วพอกบริเวณที่สัมผัสแมงกะพรุน จะช่วยให้อาการต่างๆบรรเทาลงได้

งูทะเล (Sea snake)
 งูทะเลมีลักษณะต่างจากงูบกคือ ลักษณะลำตัวส่วนท้ายค่อนข้างแบนทางด้านข้างจนถึงปลายหางคล้ายใบพายเพื่อใช้สำหรับว่ายน้ำ งูทะเลทุกชนิดมีพิษอยู่ที่เขี้ยวที่ปาก บางชนิดว่ายน้ำเหมือนอย่างปลา และบางชนิดขึ้นมาวางไข่บนชายฝั่งเช่นเดียวกับเต่าทะเล
พิษของงูทะเลมีอันตรายร้ายแรงมาก แม้จะถูกนำขึ้นมาบนบกแล้วก็ไม่ควรใช้มือจับ การเดินไปตามแนวปะการังควรใส่รองเท้ายางหุ้มข้อ งูที่ตายแล้วก็ยังต้องระวังพิษจากเขี้ยวที่สามารถออกฤทธิ์ได้ น้ำจากพิษงูทะเลมีผลโดยตรงต่อระบบกล้ามเนื้อ ทำให้ปัสสาวะของผู้ป่วยจะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลภายในเวลา 3-5 ชั่วโมง เนื่องจากเม็ดสีถูกปล่อยออกมาจากเซลล์กล้ามเนื้อที่ถูกทำลาย มีการหายใจขัด หรือการทำงานของหัวใจล้มเหลว  งูทะเลที่พบในน่านน้ำไทยมีอยู่หลายชนิด บางชนิดมีพิษ บางชนิดที่พิษอ่อนหรือไม่มีพิษ ตัวอย่างเช่น งูแสมบัง งูแสมรัง งูคออ่อน งูผ้าขี้ริ้ว งูชายธง เป็นต้น รายละเอียดดูได้จากบทความเรื่องของงู

       การป้องกันและรักษา ควรหลีกเลี่ยงการลงเล่นน้ำในบริเวณที่มีงูชุกชุม หากมีผู้ถูกงูทะเลกัด ควรให้ผู้ป่วยนอนนิ่งๆ และไม่ควรให้บาดแผลที่ถูกกัดเพื่อชะลอการไหลของเลือกพยายามอย่าให้ผู้ป่วยเคลื่อนไหว ทำความสะอาดแผลและรีบนำส่งแพทย์โดยเร็วที่สุด ในประเทศไทยยังไม่มีเซรุ่มใช้กับงูทะเล แต่อาจใช้เซรุ่มสำหรับผุ้ป่วยที่ถูกงูสามเหลี่ยมกัดแทนได้
     ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ปลาสิงโต
  ปลาสิงโต (Lion fish)
  ปลาสิงโตเป็นปลาที่อาศัยอยู่ตามแนวปะการัง ว่ายน้ำเชื่องชา มักถูกจับมาเลี้ยงเป็นปลาตู้ สวยงาม จึงมักพบปลาชนิดนี้เลี้ยงเป็นปลาตู้สวยงาม น้ำเค็มแทบทุกแห่ง ปลาสิงโตมีครีบหลังและครีบอกยาว ประกอบด้วยก้านครีบแข็งขนาดยาวหลายเซนติเมตร ก้านครีบแข็งนี้มีอันตรายมาก สามารถทิ่มแทงเข้าสู่ผิวหนังของคนได้ลึกและมีต่อมน้ำพิษที่ทำให้เจ็บปวดรุนแรง
 การป้องกันและรักษา  ระวังอย่าจับปลาชนิดนี้ควรปล่อยให้ตาย หรือไม่ควรไปเล่นกับมัน การรักษาเช่นเดียวกับการถูกเงี่ยงปลากระเบน

เม่นทะเล (Sea urchin)
เม่นทะเลเป็นสัตว์มีหนามตามผิวลำตัวเช่นเดียวกับดาวทะเล แต่เม่นทะเลมีหนามยาวจำนวนมาก ชนิดที่พบชุกชุมในแนวปะการังของชายฝั่งทะเลไทยคือเม่นดำหนามยาว (Diadema setosum) มีหนามขนาดยาวอยู่รอบตัว การเล่นน้ำ ดำน้ำในบริเวณที่มีเม่นทะเล คลื่นอาจซัดให้โยนตัวไปเหยียบย่ำหรือนั่งทับเม่นทะเลได้หนามของเม่นทะเลมักเปราะหักง่าย เมื่อฝังอยู่ในเนื้อไม่สามารถบ่งออกได้อย่างเสี้ยนหรือหนามจากพืช เม่นทะเลบางชนิดมีต่อมน้ำพิษด้วยเมื่อถูหนามเม่นตำแล้ว น้ำพิษยังอาจเข้าสู่ร่างกายทำให้เกิดอาการอักเสบ บวมแดง เจ็บปวดและเป็นไข้ได้ นอกจากหนามที่แหลมคมแล้วเม่นทะเลยังมีโครงสร้างพิเศษที่เรียกว่า เพดิเศลลาเรีย (อี) (pedicellariae) กระจัดกระจายแทรกอยู่ระหว่างหนามตรงปลายมักมี 3 แฉกคล้ายคีม ซึ่งทำหน้าที่เก็บเศษอินทรีย์และจุลินทรีย์ออกจากผิวลำตัว เพดิเศลลาเรียในเม่นทะเลบางชนิดมีต่อมน้ำพิษอยู่ด้วย ดังนั้นอันตรายจากเม่นทะเลจึงไม่เฉพาะหนามเพียงอย่างเดียว หนามของเม่นทะเลจะทำให้เกิดอาการบวมแดง ชา เป็นอยู่นานประมาณ 30 นาที จนถึง 4-6 ชั่วโมง และหนามจะย่อยสลายไปภายใน 24 ชั่วโมง
 การป้องกันและรักษา โดยปกติเม่นทะเลมักไม่เป็นอันตรายต่อนักดำน้ำ ถ้าไม่เข้าไปใกล้ หรือ จับต้อง เมื่อถูกหนามเม่นทะเลตำให้ถอนหนามออก ถ้าทำได้ หากถอนไม่ออกให้พยายามทำให้หนามบริเวณนั้นแตกเป็นชิ้นเล็กๆ โดยการบิดผิวหนังบริเวณนั้นไปมา หรือ แช่แผลในน้ำร้อนประมาณ 50 องศาเซลเซียส เพื่อช่วยให้หนามย่อยสลายได้เร็วขึ้น แต่หนามบางชนิดอาจไม่ย่อยสลาย ต้องผ่าออก
2.อันตรายจากการบริโภคเนื้อ และอวัยวะของสัตว์ทะเลที่มีพิษ (poisonous animals) สัตว์ทะเลบางชนิดมีการสะสมสารพิษในบริเวณเนื้อเยื่ออวัยวะภายใน และรังไข่ เมื่อมนุษย์นำเอาสัตว์ทะเลนั้นมาบริโภค จะได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกาย อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต เช่น แมงดาทะเล ปูบางชนิด และปลาปักเป้า เป็นต้น สัตว์บางชนิดมีสารพิษสะสมอยู่ในเนื้อเยื่อเป็นบางช่วงฤดูกาล เช่น หอยแมลงภู่ หอยนางรม ที่เพาะเลี้ยงอยู่ตามชายฝั่งที่มักเกิดปรากฏการณ์น้ำเปลี่ยนสีเป็นประจำในช่วงฤดูฝน หรืออาจได้รับสารพิษจากไดโนแฟลกเจลเลตที่เป็นสาเหตุของปรากฏณ์ดังกล่าวเข้าไป เมื่อมนุษย์นำสัตว์มาบริโภคทำให้ได้รับสารพิษนั้นได้ ในทำนองเดียวกันหากดินตะกอนบริเวณชายฝั่งมีการสะสมโลหะหนัก และยาฆ่าแมลง ที่พัดพามาจากแผ่นดิน สัตว์ทะเลที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้นอาจมีการสะสมของสารพิษดังกล่าวด้วยเช่น หอยสองกาบที่อาศัยอยู่ตามพื้นท้องทะเล ได้แก่ หอยลาย หอยแครง เป็นต้น ซึ่งกินอาหารโดยการกรองดินตะกอนและอินทรีย์สารเข้าไป เมื่อคนบริโภคหอยดังกล่าวทำให้ร่างกายได้รับสารพิษของโลหะหนัก และยาฆ่าแมลง อย่างไรก็ตามยังไม่มีรายงานในประเทศไทยว่ามีการสะสมโลหะหนัก และยาฆ่าแมลงในหอยเหล่านี้ในปริมาณที่เป็นอันตรายต่อการบริโภค
 สัตว์ทะเลบางชนิดในกลุ่มที่ 1 ที่กล่าวมาแล้วนั้นสามารถนำมาปรุงเป็นอาหารได้เนื่องจากสารพิษที่มีอยู่บริเวณเงี่ยง หรือ ก้านครีบ เมื่อถูกความร้อนที่ใช้ในการปรุงอาหารจะสลายตัวไป เช่น พิษที่เงี่ยงปลากระเบน ปลาดุกทะเล เป็นต้น แต่ถ้าสารพิษสะสมอยู่ในกลุ่มที่ 2 ความร้อนจากการปรุงอาหารไม่สามารถทำให้สลายไปได้ เช่น พิษของไข่แมงดาทะเล เนื้อและอวัยวะภายในของปลาปักเป้า เป็นต้น

แมงดาทะเล (Horse-shoe crab)
 แมงดาทะเลเป็นสัตว์ทะเลโบราณที่ยังคงเหลืออยู่ในโลกปัจจุบันเพียง 4 ชนิด ที่พบในทะเลไทยมีอยู่ 2 ชนิด คือแมงดาจานหรือแมงดาหางเหลี่ยม (Tachypleus gigas) และ แมงดาถ้วยหรือแมงดาหางกลม (Carcinoscorpius rotundicauda) ทั้งสองชนิดมีความเป็นอยู่ในสภาพแวดล้อมต่างกัน แมงดาจานอาศัยอยู่ตามพื้นทะเล วางไข่ตามริมชายฝั่งที่เป็นดินทราย ส่วนแมงดาถ้วยอาสัยอยู่ตามพื้นทะเลที่เป็นดินโคลนและตามลำคลองในป่าชายเลน เท่าที่มีรายงานในประเทศไทย เฉพาะแมงดาหางกลมเท่านั้นที่อาจเป็นพิษ และมักเรียกชื่อแมงดาที่เป็นพิษว่าแมงดาไฟ หรือ เหรา จนบางครั้งทำให้เข้าใจสับสนว่า เหรา เป็นแมงดาชนิดที่สาม จากคำบอกเล่ามักอธิบายถึงลักษณะของเหราว่าตามลำตัวมีขนยาวที่นักอนุกรมวิธานได้ศึกษาแน่ชัดแล้วว่า แมงดาไฟ หรือ เหรา ก็คือแมงดาหางกลมบางตัวนั่นเอง การเป็นพิษนั้นจะเกิดเฉพาะช่วงเดือนกุมภาพันธ์ - กันยายน เหตุที่แมงดาถ้วยมีพิษเป็นบางช่วงนี้ สันนิษฐานว่าเวลาดังกล่าวอาจมีการเจริญแพร่พันธุ์อย่างรวดเร็วของแพลงก์ตอนบางชนิด เช่น ไดโนแฟลกเจลเลต ที่สร้างสารพิษ แล้วแพลงค์ตอนชนิดดังกล่าวถูกกินโดยหอยหรือหนอนซึ่งเป็นสัตว์หน้าดิน เมื่อพิษเข้ามาสะสมในหอยหรือหนอนแล้วถูกกินโดยแมงดาทะเล พิษจึงมาสะสมอยู่ในเนื้อและไข่ของแมงดาถ้วย เมื่อคนบริโภคแมงดาถ้วยตัวที่มีสารพิษสะสมอยู่ จึงทำให้เกิดอาการพิษได้ แม้ว่าจะได้ปรุงไข่หรือเนื้อที่บริโภคให้สุดแล้วก็ตาม
 อาการของคนที่บริโภคแมงดาถ้วยที่มีสารพิษเข้าไป จะทำให้เกิดอาการมึนงง ปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน หัวใจเต้นเร็ว ปากชาพูดไม่ได้ แขนขาอ่อนเปลี้ย กล้ามเนื้อไม่ทำงาน หมดความรู้สึกและอาจเสียชีวิตได้ ขึ้นอยู่กับปริมาณที่บริโภคเข้าไปมากหรือน้อย
  การรักษา เมื่อพบผู้ที่บริโภคแมงดาทะเลแล้วเกิดเป็นพิษ ให้ทำการล้างท้อง ทำให้อาเจียน และรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด

ปลาปักเป้า (Puffer fishes)
  ปลาปักเป้าเป็นปลาที่รู้จักกันดีว่ามีพิษโดยเฉพาะอย่างไข่ ตับ ลำไส้ ผิวหนัง ส่วนเนื้อปลามีพิษน้อย การนำปลาปักเป้ามาบริโภค ถ้าการเตรียมก่อนนำไปปรุงไม่รู้วิธีที่ถูกต้อง ทำให้พิษที่อยู่ในอวัยวะภายในปนเปื้อนเนื้อปลา ทำให้ผู้บริโภคได้รับสารพิษเกิดอาการชาที่ริมฝีปาก มีอาการคันแสบร้อนที่ผิวหนังและตา คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ท้องเดิน ขาอ่อนแรง หรือเกิดอัมพาต กลืนลำบาก หัวใจเต้นเร็ว เจ็บอก ความดันเลือดสูง จนถึงขั้นหยุดหายใจและเสียชีวิต พิษของปลาปักเป้าเป็นสารเตโตรโดทอกซิน (tetrodotoxin) ตัวอย่างปลาปักเป้าที่มีพิษได้แก่ ปักเป้าดำ ปักเป้าหนามทุเรียน
 การป้องกันและรักษา งดบริโภคอาหารแปลกๆ ถ้าไม่แน่ใจให้ถามชาวประมง หรือคนในท้องถิ่น ถ้าหากได้รับสารพิษพยายามให้ผู้ป่วยอาเจียน โดยวิธีล้วงคอ หรือให้ผู้ป่วยดื่มผงถ่านกัมมันต์ ผสมน้ำ อัตราส่วน 10 กรัม ต่อน้ำ 100 มล. เพื่อดูดซับสารพิษที่ตกค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร ไม่ให้ดูดซึมเข้าร่างกาย แล้วรีบนำส่งแพทย์
3.อันตรายจากสัตว์ทะเลที่ทำให้การเกิดบาดแผล (injurious animals) เนื่องจากถูกอวัยวะที่แหลมคม เช่น ฟัน หนาม ก้านครีบ หรือเงี่ยง รวมทั้งการปล่อยกระแสไฟฟ้าออกมาของสัตว์ทะเลบางชนิด ตัวอย่างเช่น ฉลามกัด ปูหนีบ เพรียงหินบาด  เป็นต้น สัตว์เหล่านี้มักมีฟัน ครีบ และเงี่ยงที่แหลมคมไว้ใช้ในการป้องกันตัว และล่าเหยื่อเท่านั้น หาได้มีไว้เพื่อโจมตี หรือทำร้ายมนุษย์แต่อย่างไร


ปู (Crab)
ปูเป็นสัตว์ที่วิวัฒนาการจากกุ้ง โดยมีส่วนท้องลดขนาดลง และพับอยู่ใต้อก ปูมีขาเดิน 5 คู่ คู่แรกเปลี่ยนแปลงไปเป็นก้ามใช้หนีบจับเหยื่อและป้องกันตัว ปูส่วนใหญ่มีก้ามแข็งแรง ใช้หนีบศัตรูให้ได้รับบาดเจ็บได้ โดยเฉพาะปูทะเล ปูม้า และปูใบ้ขนาดใหญ่ การจับปูเหล่านี้จึงต้องระมัดระวังโดยเฉพาะปูที่ยังมีชีวิตและถูกแก้มัดออกแล้ว ปูใบ้มีเปลือกแข็ง ก้ามแข็งแรงมาก เมื่อหนีบแล้วไม่ยอมปล่อยง่ายๆ อย่างไรก็ตาม อันตรายจากปูหนีบนั้นยังไม่ร้ายแรงเท่ากับการบริโภคปูมีพิษ เช่นเดียวกับแมงดาไฟ ซึ่งอาจทำให้เสียชีวิตได้ ตัวอย่างปูมีพิษได้แก่ ปูใบ้แดง (Artergatis intergerrimus) และปูใบ้ลาย(Lophozozymus pictor) เป็นต้น
      พิษอันเกิดจากปูที่นำมาบริโภค บางครั้งอาจเกิดจากปุม้าหรือปูทะเลก็ได้ เช่น ปูม้าที่ไม่สด หรือปูที่มีดินตะกอนจากพื้นทะเลติดอยู่ตามลำตัว โดยเฉพาะบริเวณเหงือกปู เมื่อนำมาปรุงอาหาร แบคทีเรียจากปูที่ไม่สดและดินตะกอนจะทำให้เกิดอาการท้องเดินได้เช่นกัน บางคนอาจไม่สามารถบริโภคปูได้เลยเนื่องจากแพ้อาหารทะเล หากบริโภคเข้าไปจะทำให้เกิดเป็นผืนคัน หรือ บวมที่ใบหน้าและลำคอก็ได้  การบริโภคปูมีพิษ ในไม่กี่ชั่วโมงจะเกิดอาการบวมที่ริมฝีปาก ลิ้น ปาก ลำคอและใบหน้า ถ่ายท้อง ปวดท้อง และช็อค
การป้องกันและรักษา การป้องกันอันตรายจากปูคือการหลีกเลี่ยงบริโภคปูชนิดที่ไม่คุ้นเคย แต่หากบริโภคปูที่มีพิษเข้าไป ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลโดยเร็ว และควรนำตัวอย่างปูที่มีพิษนั้นไปด้วย

เพรียงหิน (Rock Barnacle)
  เพรียงหินเป็นสัตว์จำพวกเดียวกับกุ้งและปู ที่มีการปรับตัวเปลี่ยนแปลงไปจากพวกกุ้งมาก โดยสร้างเปลือกหินปุนออกมาช่วยยึดติดอยู่กับที่ และห่อหุ้มร่างกายเอาไว้ ทำให้สามารถอาศัยอยู่บนบกได้เป็นเวลานาน เพรียงหินอาศัยอยู่ตามโขดหิน เสาสะพานท่าเรือ หลักโป๊ะ หลักเลี้ยงหอยแมลงภู่ ฟาร์มหอยนางรม หรืออาจพบเกาะอยู่บนสัตว์มีเปลือก เช่น หอย แมงดาทะเล ปู เป็นต้น เป็นสัตว์ที่พบบ่อย และพบชุกชุมตามริมชายฝั่งทะเลทั่วไป
การป้องกันและรักษา อันตรายที่อาจได้รับจากเพรียงหิน คือการถูกบาดจากเปลือกที่แหลมคม ขณะเดินไปตามโขดหินหรือจากการดำน้ำเก็บหอยแมลงภู่ เป็นต้น หากถูกเพรียงหินบาดให้ทำความสะอาดบาดแผล และใส่ยาฆ่าเชื้อ เช่น ยาแดง และเสียเลือดมากให้นำส่งแพทย์เพื่อเย็บบาดแผลนั้นทันที

ปลากระเบน (Ray)
ปลากระเบนเป็นปลากระดูกอ่อน ลำตัวแบนด้านบนด้านล่าง รูปร่างค่อนข้างกลมและมีหางยาว ปากของปลากระเบนอยู่ทางด้านล่าง อาหารของปลากระเบนส่วนใหญ่เป็นสัตว์หน้าดินต่างๆ ปลากระเบนมีการป้องกันตัวด้วยการมีเงี่ยงแหลมคมอยู่บริเวณโคนหาง ผู้ที่เดินลุยน้ำอยู่ริมชายฝั่งทะเล จึงอาจเหยียบไปบนตัวปลากระเบนที่หมกตัวอยู่ตามพื้นทะเล และถูกเงี่ยงตำได้รับความเจ็บปวด ในแนวปะการังของไทย มีปลากระเบนทอง (Taeniura lymna) อาศัยอยู่ตามแนวปะการังทั่วไป ผู้ที่ดำน้ำลงไปในบริเวณดังกล่าว จึงมีโอกาสถูกเงี่ยงของปลากระเบนทองตำได้เช่นเดียวกัน
เมื่อถูกเงี่ยงของปลากระเบนตำจะได้รับพิษทำให้เกิดอาการปวดอย่างแรง บางครั้งอาจทำให้เกิดอาการช็อค หมดสติ และเสียชีวิตได้
  การรักษา การปฐมพยาบาลในขั้นแรก คือ ห้ามเลือดที่บาดแผล แล้วตรวจดูว่ามีเศษของเงี่ยงพิษตกค้างอยู่รึไม่ เนื่องจากพิษของเงี่ยงปลากระเบน เป็นสารพวกโปรตีนย่อยสลายในความร้อน ดังนั้นควรแช่บาดแผลในน้ำร้อนเท่าที่จะทนได้ ประมาณ 30-60 นาที อาการปวดจะทุเลาบริโภคยาแก้อักเสบ หากมีอาการแพ้มากควรรีบส่งแพทย์

ปลากระเบนไฟฟ้า (Electric ray)
  ปลากระเบนไฟฟ้ามีลำตัวแบนค่อนข้างกลม มีอวัยวะผลิตกระแสไฟฟ้าประกอบด้วยเซลล์รูปหกเหลี่ยม เรียงซ้อนกันเป็นกลุ่มตั้งอยู่ทางด้านข้างของตาถัดไปถึงครีบอก ภายในมีสารเป็นเมือกคล้ายวุ้น ทำหน้าที่เป็นตัวผลิตกระแสไฟฟ้าจะวิ่งจากด้านล้างขึ้นไปด้านบนภายใต้การควบคุมของสมอง
  การปล่อยกระแสไฟฟ้าเกิดขึ้นเมื่อได้รับการกระตุ้น หรือถูกรบกวน ตามปกติใช้เพื่อล่าเหยื่อหรือทำร้ายศัตรู หากคนไปเหยียบปลากระเบนไฟฟ้าที่หมกตัวอาศัยอยู่ตามธรรมชาติ กระแสไฟฟ้าที่ปล่อยออกมามักมีกำลังไฟประมาณ 40-100 โวลต์ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการชา จนอาจจมน้ำได้
การป้องกันและรักษา หากทราบว่าในบริเวณใดมีปลากระเบนไฟฟ้าอาศัยอยู่ ควรหลีกเลี่ยงในการลงเล่นน้ำในบริเวณดังกล่าว เนื่องจากกระแสไฟฟ้าที่ปล่อยออกมาอาจทำให้หมดสติ เมื่อนำผู้ป่วยขึ้นบนผิวน้ำ และช่วยให้ผู้ป่วยหายใจ (CPR) แล้วนำส่งโรงพยาบาล


แมลงมีพิษ

1 แมลงก้นกระดก 
             สถานที่ที่พบเจอ : ที่เปียกชื้นในฤดูฝน
            ประโยชน์ของ "ด้วงก้นกระดก" ก็คือ ช่วยควบคุมแมลงศัตรูพืชตามธรรมชาติ และกลับมีพิษต่อคน โดย "ด้วงก้นกระดก" จะมีพิษ "เพเดอริน" (Paederin) อยู่ทั่วตัว และมีสารพิษอยู่ในตัวประมาณ 0.025 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว พิษนี้มีฤทธิ์ทำลายเซลล์เนื้อเยื่อ ส่วนใหญ่จะพบพิษใน "ด้วงก้นกระดก" ตัวเมีย ซึ่งตามปกติ "ด้วงก้นกระดก" จะไม่กัด หรือต่อยคน แต่พิษสามารถปล่อยออกมาได้ หาก "ด้วงก้นกระดก" ตกใจ ถูกตี ถูกบีบ บดขยี้ เพื่อเป็นการป้องกันตัว
อันตรายของพิษ "ด้วงก้นกระดก" คือหากถูกพิษภายใน 24 ชั่วโมงแรก จะเกิดผื่นแพ้ที่ผิวหนังอย่างเฉียบพลัน เกิดการอักเสบ แสบร้อน พุพอง และเกิดการอักเสบขยายวงกว้างขึ้นภายใน 48 ชั่วโมง จากนั้นแผลจะตกสะเก็ดภายใน 8 วัน จนสามารถกลายเป็นแผลเป็นได้ ในบางรายอาจมีไข้ ปวดศีรษะ ปวดเส้นประสาท ปวดกล้ามเนื้อ อาจียน คนที่แพ้พิษอย่างรุนแรง ผิวหนังอาจอักเสบหลายแห่ง คล้ายเป็นโรคงูสวัด หรืออาจเป็นผื่นแดงติดต่อกันนานหลายเดือน แต่หากพิษเข้าตา ก็อาจทำให้ตาบอดได้เลยทีเดียว
      สำหรับคำแนะนำในการป้องกัน "ด้วงก้นกระดก" ก็คือ ไม่ควรจับด้วงมาเล่น หรือตบตีเมื่อด้วงบินมาเกาะตามตัว ก่อนนอนควรปัดที่นอน หมอน มุ้ง ผ้าห่ม ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ ก่อน เพื่อป้องกัน "ด้วงก้นกระดก" รวมทั้งในช่วงกลางคืนควรเปิดไฟเฉพาะเท่าที่จำเป็น เพราะ "ด้วงก้นกระดก" มักชอบออกมาเล่นแสงไฟ  สุดท้าย หากถูกพิษของ "ด้วงก้นกระดก" แล้ว ให้รีบล้างด้วยน้ำเปล่า ฟอกสบู่ หรือเช็ดด้วยแอมโมเนีย และไปพบแพทย์ เพื่อรับการรักษาอย่างถูกวิธี
2.แมลงตด
สถานที่พบเจอ : ตามต่างจังหวัดที่มีพิ้นดินเปียกชื้น
อันตราย  แมลงตดจะปล่อยสารพิษประเภทควิโนน โดยพ่นออกมาเป็นหมอกทางก้นมีเสียงคล้ายตด เมื่อถูกผิวหนังจะแสบร้อนและผิวไหม้คล้ายถูกกรดหากโดนที่สำคัญเช่น ตา จะทำให้ตาบอดได้โดยสารพิษควิโนนจะผลิตจากต่อมภายในท้องผสมกับสารไฮโดรเจนเปอร์ออกไซด์การปล่อยพิษจะเกิดจากการผสมกันของสารสองชนิดดังกล่าวและเกิดแรงดันฉีดสารพิษ ควิโนนออกมาเป็นละออละเอียด ปกติแมลงตดจะปล่อยสารพิษเพื่อป้องกันตัวหรือเมื่อถูกรบกวน
การป้องกัน     หลีกเลี่ยงไม่ไปสัมผัสกับแมลงเหล่านี้ แต่ถ้าผิวหนังถูกน้ำพิษให้รีบล้างแผลให้สะอาดด้วยสบู่และน้ำ แล้วใช้ยาปฏิชีวนะประเภทครีมทาบริเวณที่ถูกพิษกรณีที่ตุ่มแผลแตกให้รับ ประทานยาปฏิชีวนะและปิดแผลไว้ถ้าอาการรุนแรงควรไปพบแพทย์

3 ผึ้ง
4 ต่อ
5 แตน
พิษของ ผึ้ง ต่อ แตน
ผึ้ง  ต่อ  แตน เป็นแมลงที่มีเหล็กใน(stinger) โดยผึ้งตัวเมียจะดัดแปลงมาจากอวัยวะที่ใช้วางไข่ตรงปลายสุดของท้องเป็นเหล็กในยื่นยาวออกมา    เมื่อต่อยแล้วเหล็กในแทงจะหลุดและปล่อยน้ำพิษออก  ผึ้งจะตายหลังต่อย  ผึ้งที่ต่อยศัตรูคือผึ้งงานและผึ้งนางพญา  ดัง นั้นผึ้งงานหนึ่งตัวจะต่อยได้เพียงครั้งเดียว ยกเว้นผึ้งนางพญา เมื่อต่อยศัตรูแล้วจะไม่ปล่อยหรือทิ้งเหล็กใน จึงทำให้สามารถใช้เหล็กในต่อยได้อีกหลายครั้ง
วิธีป้องกันรักษา
ให้การดูแลเฉพาะที่ กรณีอาการไม่รุนแรง (local care)-   กรณีผึ้งต่อย หากมีเหล็กในปักคาอยู่ต้องเอาออก โดยใช้สันมีด/การ์ดหรือใช้เทปกาวแปะและดึงออก ไม่ใช้นิ้วหรือปากคีบ(forceps)เพราะอาจทำให้บีบเอาพิษออกมากขึ้น หากจำเป็นต้องใช้ปากคีบควรระมัดระวังคีบถูกถุงพิษซึ่งติดกับเหล็กใน ทำแผลให้สะอาดประคบด้วยน้ำเย็นเพื่อลดปวดให้ยาต้านฮีสตามีนเพื่อลดอาการคันให้ยาแก้ปวด เช่น พาราเซตามอล ถ้าบวมมากให้สเตอรอยด์ เช่น เพรดนิโซโลน 50 มิลลิกรัม /วัน เป็นเวลา 3 วัน  ยาปฏิชีวนะส่วนใหญ่ไม่จำเป็นในแผลที่ถูกผึ้งต่อย แต่จำเป็นในแผลที่ ต่อ แตนต่อย เฝ้าระวัง ลมพิษ แองกิโออีดีมา ปวดเกร็งท้อง ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน หายใจขัด หลอดเลือดขยาย เป็นลม ความดันโลหิตต่ำ
สถานที่ที่พบเจอ : พื้นที่ทั่วไปที่มี ดอกไม้ และน้ำหวาน
6 .ด้วงน้ำมัน
สถานที่พบเจอ : ตามมูลสัตว์และจะบินตามที่ที่มีแสงไฟ
พิษของด้วงน้ำมัน
พิษมีชื่อว่า...แคนทารีดิน มีลักษณะเป็นของเหลวสีเหลืองอ่อนคล้ายน้ำมัน ใน ด้วงน้ำมัน 1 ตัวจะมีสารแคนทารีดินประมาณ 6-7 มิลลิกรัม
หากโดนผิวหนังจะทำให้เป็น แผลผื่นพุพอง ปวดแสบปวดร้อน ยิ่งเกาก็จะยิ่งทำให้ลามไปเรื่อยๆ เพราะเมื่อเกามือก็จะเลอะสารนี้ ยิ่งไปสัมผัสบริเวณอื่นก็จะแพร่กระจายไป
ส่วนใครรับประทานเข้าไปจะทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย อุจจาระร่วง ปัสสาวะเป็นเลือด และเสียชีวิตจากภาวะหัวใจล้มเหลว
วิธีป้องกัน
หากไปโดนเข้าก็ให้รีบล้างมือให้สะอาดโดยเร็ว หรือเช็ดด้วยแอมโมเนียออกทันที เพื่อป้องกันการลุกลาม และควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการรักษา โดยใช้ผงถ่านดูดซับสารพิษ จากนั้นก็รักษาระบบไหลเวียนเลือดล้มเหลวและอาการช็อก ให้เลือดและน้ำเกลือเข้าทางเส้นเลือดดำ และป้องกันอันตรายที่เกิดกับไต โดยทำให้มีการถ่ายปัสสาวะเพิ่มมากขึ้น
     เกษตรกรที่พบเห็นด้วงน้ำมันมา รบกวนแปลงปลูกพืช และ หาก มีปริมาณมากผิดปกติ นักวิชาการได้แนะนำให้ใช้สาร carbaryl 0.1% (Sevin 85% WP) พ่น 1-2 ครั้ง ทุก 7-10 วัน มันก็จะเสียชีวิตไปในที่สุด และ ล่าสุดในปีนี้ก็พบว่า มีการระบาดขึ้นมากอีก...ใครที่รู้แล้วก็ควรระมัดระวัง อยู่ให้ห่างๆมันจะดีกว่า และโดยเฉพาะผู้ปกครองที่มีเด็กๆที่ชอบไปเดินเล่นในแปลงผัก...อย่าเผลอเด็ด ขาด11 .ด้วงน้ำมัน
สถานที่พบเจอ : ตามมูลสัตว์และจะบินตามที่ที่มีแสงไฟ
พิษของด้วงน้ำมัน
พิษมีชื่อว่า...แคนทารีดิน มีลักษณะเป็นของเหลวสีเหลืองอ่อนคล้ายน้ำมัน ใน ด้วงน้ำมัน 1 ตัวจะมีสารแคนทารีดินประมาณ 6-7 มิลลิกรัม