สัตว์มีพิษในประเทศไทย
งูมีพิษในประเทศไทย
งูมีพิษในประเทศไทยนั้น สามารถแบ่งออกเป็น 6 สายพันธุ์หลักดังนี้
1. งูจงอาง
งูจงอาง เป็นงูมีพิษขนาดใหญ่ ขนาดลำตัวยาว 3-5 เมตร มีพิษร้ายแรงและปริมาณน้ำพิษมาก สามารถกัดคนและสัตว์ทุกชนิดให้ตายได้ในเวลาไม่กี่นาที งูจงอางสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของไทย และเป็นงูประเภทกินงูด้วยกันเป็นอาหารงูจงอางเป็นงูพิษที่มีลักษณะหัวกลมมน เกล็ดบริเวณส่วนหัวใหญ่ มีเขี้ยว 2 เขี้ยวที่ขากรรไกรด้านบน หน้าตาดุดัน จมูกทู่ มองเผิน ๆ คล้ายกับงูสิงดง ที่บริเวณขอบตาบนมีเกล็ดยื่นงองุ้มออกมา ทำให้หน้าตาของงูจงอางมองดูดุและน่ากลัว ส่วนบริเวณท่อนหางจะมีลักษณะคล้ายคลึงกันมากที่สุด มีม่านตากลม ลำคอมีขนาดสมส่วน ลำตัวขนาดใหญ่เรียวยาว แผ่แม่เบี้ยได้เช่นเดียวกับงูเห่า งูจงอางที่ยังไม่โตเต็มวัย จะมีขนาดลำตัวเท่ากับงูเห่าดงแต่จะยาวกว่า ทำให้คนทั่วไปที่พบเห็นและไม่เคยเห็นงูจงอางมาก่อน จะเข้าใจผิดว่าเป็นงูเห่าและเรียกว่างูเห่าดง
งูมีพิษในประเทศไทยนั้น สามารถแบ่งออกเป็น 6 สายพันธุ์หลักดังนี้
1. งูจงอาง
งูจงอาง เป็นงูมีพิษขนาดใหญ่ ขนาดลำตัวยาว 3-5 เมตร มีพิษร้ายแรงและปริมาณน้ำพิษมาก สามารถกัดคนและสัตว์ทุกชนิดให้ตายได้ในเวลาไม่กี่นาที งูจงอางสามารถพบได้ทั่วทุกภาคของไทย และเป็นงูประเภทกินงูด้วยกันเป็นอาหารงูจงอางเป็นงูพิษที่มีลักษณะหัวกลมมน เกล็ดบริเวณส่วนหัวใหญ่ มีเขี้ยว 2 เขี้ยวที่ขากรรไกรด้านบน หน้าตาดุดัน จมูกทู่ มองเผิน ๆ คล้ายกับงูสิงดง ที่บริเวณขอบตาบนมีเกล็ดยื่นงองุ้มออกมา ทำให้หน้าตาของงูจงอางมองดูดุและน่ากลัว ส่วนบริเวณท่อนหางจะมีลักษณะคล้ายคลึงกันมากที่สุด มีม่านตากลม ลำคอมีขนาดสมส่วน ลำตัวขนาดใหญ่เรียวยาว แผ่แม่เบี้ยได้เช่นเดียวกับงูเห่า งูจงอางที่ยังไม่โตเต็มวัย จะมีขนาดลำตัวเท่ากับงูเห่าดงแต่จะยาวกว่า ทำให้คนทั่วไปที่พบเห็นและไม่เคยเห็นงูจงอางมาก่อน จะเข้าใจผิดว่าเป็นงูเห่าและเรียกว่างูเห่าดง
ตามปกติจะหากินที่พื้นดินแต่ก็สามารถขึ้นต้นไม้ได้อย่างคล่องแคล่ว เป็นงูที่ใช้วิธีการฉกกัดและรัดเหยื่อไม่เป็น ซึ่งไม่สมกับขนาดของลำตัวที่เพรียวยาว ปกติจะเลื้อยช้าแต่จะมีความว่องไวและปราดเปรียวเมื่อตกใจ ถ้าพบเจอสิ่งใดแล้วไม่หยุดชูคอขึ้น จะเลื้อยผ่านไปเงียบ ๆ แต่ถ้าขดตัวเข้ามารวมเป็นกลุ่มแล้วยกหัวสูงขึ้น แสดงว่าพร้อมจู่โจมสิ่งที่พบเห็น[8] เวลาเลื้อยหัวจะเรียบขนานไปกับพื้น แต่เมื่อตกใจหรือโกรธสามารถยกตัวขึ้นชูคอได้สูงประมาณ 1 ใน 3 ของขนาดความยาวลำตัว เทียบความสูงได้ในระดับประมาณเอวของคน จังหวะที่ยกตัวชูสูงขึ้นในครั้งแรกจะมีความสูงมากและค่อย ๆ ลดลงมาอยู่ในระดับปกติตามเดิม ไม่ส่งเสียงขู่ฟ่อ ๆ เมื่อมีสิ่งใดเข้าใกล้เช่นเดียวกับงูเห่า ที่สามารถพ่นลมออกจากทางรูจมูกซึ่งเป็นเอกลักษณ์พิเศษเฉพาะของงูเห่า[9] แผ่แม่เบี้ยได้เหมือนงูเห่าแต่จะแคบและไม่มีลายดอกจันที่บริเวณศีรษะด้านหลัง มีลายค่อนข้างจางพาดตามขวาง มีลักษณะเป็นบั้ง ๆ แทน[10]
งูจงอางเป็นงูพิษที่สามารถต้านทานพิษงูชนิดอื่น ๆ ได้อย่างดีเยี่ยม เช่น งูเห่า งูกะปะ เมื่อเกิดการต่อสู้และถูกกัดจะไม่ได้รับอันตรายจนถึงตาย แต่จะกัดและกินงูเหล่านั้นเป็นอาหารแทน งูจงอางมีเกล็ดพิเศษบนศีรษะจำนวน 1 คู่ อยู่บริเวณด้านหลังของเกล็ดกระหม่อม (Parietals) มีชื่อเรียกว่า Occipitals ซึ่งจะมีเฉพาะงูจงอางเท่านั้น มีถิ่นอาศัยอยู่ในป่า ไม่ปรากฏว่าพบตามสวนหรือไร่นา ทำรังและวางไข่ประมาณปีละครั้ง ครั้งละประมาณ 20 - 30 ฟอง ชอบทำรังในกอไผ่ กกและฟักไข่เองจนกว่าลูกงูจะเกิด
งูจงอางมีพฤติกรรมการฉกกัดแบบติดแน่น ไม่กัดฉกเหมือนงูเห่า จึงกัดแล้วจะย้ำเขี้ยว (lock jaw) น้ำพิษมีสีเหลืองและมีลักษณะเหนียวหนืด พิษงูทำลายประสาทเช่นเดียวกับงูเห่าแต่เกิดอาการเร็วและรุนแรงกว่า เนื่องจากมีน้ำพิษปริมาณมากเพราะงูจงอางมีขนาดโตกว่างูเห่า ผู้ถูกกัดจะมีอาการหนังตาตก ขากรรไกรแข็ง พูดไม่ชัด กลืนน้ำลายไม่ได้ แน่นหน้าอก ตาพร่า อ่อนเพลีย เป็นอัมพาต อาจตายเพราะการหายใจล้มเหลว [11] น้ำพิษของงูจงอางสามารถฉีดออกมาได้ถึง 380-600 มิลลิกรัมในการฉกกัดแต่ละครั้ง[12] ซึ่งอาจมีปริมาณมากถึง 10 เท่าของงูเห่า ทำให้เกิดอัมพาตของกล้ามเนื้อ ที่อันตรายคือกล้ามเนื้อที่ใช้หายใจหยุดทำงาน ดังนั้นหากถูกกัดจะถึงแก่ความตายอย่างรวดเร็วภายในเวลาไม่ถึง 15 นาที
น้ำพิษ[แก้]
งูพิษ หรือ งูพิษอันตราย (Dangerous Venomous Snakes) มีความหมายเหมือนกันกับคำว่า "งูที่มีความสำคัญในทางการแพทย์" (Snakes of Medical Importance) ซึ่งจะหมายความถึงงูที่มีกลไกของพิษ (Venom apparatus) และปริมาณน้ำพิษที่มีความรุนแรง ซึ่งมีผลต่อระบบประสาทและระบบโลหิตต่อร่างกายของสัตว์และมนุษย์ ทำให้เสียชีวิตได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาไม่นาน ซึ่งกลไกลของพิษของงูโดยเฉพาะงูจงอาง ที่มีปริมาณพิษร้ายแรงน้อยกว่างูเห่าแต่ปริมาณน้ำพิษมากกว่า สามารถทำให้ผู้ที่ได้รับพิษเสียชีวิตได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งลักษณะกลไกพิษของงูจงอาง มีดังนี้
ต่อมผลิตพิษ
ต่อมผลิตพิษ (Venom Gland) เป็นต่อมที่ทำหน้าที่สำหรับสร้างพิษงูในงูพิษที่จัดอยู่ในชั้นสูงขึ้นไป ซึ่งได้แก่งูในครอบครัว Elapidae และครอบครัว Viperidae งูจงอางจะมีต่อมพิษที่สามารถเจริญเติบโตและพัฒนาการจนมีขนาดใหญ่ โดยตำแหน่งของต่อมผลิตพิษจะอยู่บริเวณหลังลูกตาทั้ง 2 ข้างในลักษณะของตำแหน่งที่เทียบได้กับกระพุ้งแก้ม
ต่อมผลิตพิษนี้จะมีอยู่ทั้ง 2 ข้างของหัวงูจงอาง ข้างละ 1 อัน โดยบนต่อมผลิตพิษจะมีกล้ามเนื้อพิเศษที่ทำการควบคุมการผลิตพิษของต่อมผลิตพิษ เพื่อเป็นการบังคับให้ต่อมผลิตพิษ บีบตัวและหลั่งน้ำพิษเมื่องูจงอางต้องการ หรือฉกกัดสิ่งที่พบเห็น
ท่อน้ำพิษ[แก้]
ท่อน้ำพิษ (Venom Duct) เป็นท่อที่มีลักษณะพิเศษที่ทำการเชื่อมต่อกันระหว่างต่อมผลิตพิษ และโคนเขี้ยวพิษของงูจงอาง มีหน้าที่ในการลำเลียงน้ำพิษจากต่อมผลิตพิษ เมื่องูจงอางบีบและหลั่งน้ำพิษไปยังเขี้ยวพิษทั้ง 2 ข้างที่ขากรรไกรด้านล้างด้วย
เขี้ยวพิษ[แก้]
เขี้ยวพิษ (Venom Fangs) เขี้ยวพิษของงูจงอาง มีลักษณะโค้งงอ มีจำนวน 2 ชุดคือ เขี้ยวพิษจริงและเขี้ยวพิษสำรอง เทียบได้กับลักษณะของเข็มฉีดยา เมื่องูจงอางฉกกัด เขี้ยวพิษจะฝังเข้าไปในเนื้อของเหยื่อหรือผู้ที่ถูกกัดและฉีดพิษเข้าสู่ร่างกายของเหยื่อ ลักษณะเขี้ยวพิษของงูจงอางจัดอยู่ในกลุ่ม Proteroglypha ซึ่งเป็นกลุ่มของงูมีพิษที่มีลักษณะเขี้ยวพิษอยู่ด้านหน้าของขากรรไกรด้านบน เขี้ยวพิษทั้ง 2 จะยึดแน่นติดกับขากรรไกรด้านบน หดพับงอเขี้ยวไม่ได้ ลักษณะของเขี้ยวพิษจะไม่ยาวนัก มีร่องตามแนวยาว (Vertical Groove) อยู่บริเวณด้านหน้าของตัวเขี้ยว จำนวน 1 ร่อง เพื่อสำหรับให้น้ำพิษจากต่อมผลิตพิษไหลผ่าน
ลักษณะปลายเขี้ยวพิษของงูจงอางจะแหลมคม เพื่อใช้สำหรับเจาะทะลุเข้าไปในบริเวณผิวหนังของเหยื่อที่ฉกกัดได้โดยง่าย งูจงอางมีเขี้ยวพิษสำรองหลายชุดซึ่งเขี้ยวสำรองจะหลบอยู่ภายในอุ้งเหงือก เมื่อเขี้ยวพิษจริงหักหรือหลุดหลังจากการฉกกัดหรือด้วยสาเหตุใดก็ตาม เขี้ยวพิษสำรองจะเลื่อนขึ้นมาแทนที่เขี้ยวพิษจริง และจะทำหน้าที่แทนเขี้ยวพิษจริงอันใหม่ต่อไป
น้ำพิษ[แก้]
น้ำพิษ (Venom) น้ำพิษของงูจงอางประกอบไปด้วยส่วนที่เป็นโปรตีนและไม่ใช่โปรตีน น้ำพิษของงูจงอางมีลักษณะเป็นของเหลว สีเหลืองเรื่อ ๆ ไม่มีรสและกลิ่น ส่วนประกอบของน้ำพิษที่เป็นโปรตีน จะมีโปรตีนประกอบอยู่ประมาณ 90% ของปริมาณน้ำพิษทั้งหมด และอีก 10% ที่เหลือจะเป็นส่วนที่ไม่ใช่โปรตีน[16]
น้ำพิษของงูจงอางในส่วนที่เป็นโปรตีน สามารถแบ่งย่อยออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่เป็นน้ำพิษจากต่อมผลิตพิษ (Toxin) และส่วนที่เป็นน้ำย่อย (Enzyme)
2. งูเห่า
เป็นงูขนาดกลาง ความยาว 1-2 เมตร ปริมาณน้ำพิษน้อยแต่มีพิษร้ายแรงมาก โดยพิษจะเข้าไปทำลายระบบประสาท ผู้ถูกกัดจะมีอาการง่วงซึม อยากหลับ ถ้าหลับก็จะไม่ตื่นอีกเลย ผู้ที่ถูกงูเห่ากัดถ้าไม่ได้รับการปฐมพยาบาลที่ถูกต้องและไม่ได้รับการฉีดวัคซีนอย่างรวดเร็ว มักจะเสียชีวิตทุกราย งูเห่าเป็นงูที่พบได้ทั่วไปทั่วประเทศงูเห่าจัดเป็นงูที่อันตราย มีนิสัยดุร้ายเช่นเดียวกับงูจงอาง เมื่อตกใจหรือต้องการขู่ศัตรู มักทำเสียงขู่ฟู่ ๆ โดยพ่นลมออกจากทางรูจมูก และแผ่แผ่นหนังที่อยู่หลังบริเวณคอออกเป็นแผ่นด้านข้างเรียกว่า "แม่เบี้ย" หรือ "พังพาน" ซึ่งบริเวณแม่เบี้ยนี้จะมีลวดลายเป็นดอกดวงสีขาวหรือสีเหลืองนวลเป็นรูปลักษณ์ต่าง ๆ เช่น คล้ายตัวอักษรวีหรืออักษรยูหรือวงกลม หรือไม่มีเลยก็ได้ เรียกว่า "ดอกจัน"[1]
มีพิษมีฤทธิ์ทำลายระบบประสาทที่รุนแรง และเป็นสาเหตุที่ทำให้ผู้ที่ถูกกัดเสียชีวิต พิษของงูเห่านับว่ามีความร้ายแรงมาก งูเห่ามีสีหลากหลาย เช่น ดำ, น้ำตาล, เขียวอมเทา เหลืองหม่น รวมทั้งสีขาวปลอดทั้งลำตัว ที่เรียกว่า งูเห่านวล หรือ งูเห่าสุพรรณ ซึ่งเป็นความหลากหลายทางสีสันของงูเห่าหม้อ (N. kaouthia) ที่เป็นงูเห่าชนิดที่พบได้บ่อยที่สุดในประเทศไทย โดยที่มิใช่สัตว์เผือกด้วย [2]
เป็นงูที่มีพิษร้ายแรง มีร่องและรูทางออกของน้ำพิษทางด้านหลังของเขี้ยวพิษ เขี้ยวพิษขนาดไม่ใหญ่นักซึ่งผนึกติดแน่นกับขากรรไกรขยับไม่ได้ นอกจากเขี้ยวพิษแล้วอาจมีเขี้ยวสำรองอยู่ติด ๆ กันอีก 1-2 อัน ที่ขากรรไกรล่างไม่มีฟัน นอกจากนี้แล้วในบางชนิดยังสามารถพ่นพิษออกมาจากต่อมน้ำพิษได้อีกด้วย เรียกว่า "งูเห่าพ่นพิษ" ซึ่งหากพ่นใส่ตา จะทำให้ตาบอดได้
งูเห่าจัดว่าเป็นงูพิษขนาดกลาง ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 1 เมตร
งูเห่าขยายพันธุ์ด้วยการวางไข่ โดยงูตัวเมียจะเป็นผู้ปกป้องและฟักไข่จนกระทั่งฟักออกเป็นตัว ในช่วงนี้จะมีนิสัยดุร้ายกว่าปกติ งูเห่าวางไข่ได้ครั้งละ 10 จนมากที่สุดได้ถึง 30 ฟอง และลูกงูมีอัตราฟักเป็นตัวสูงถึงร้อยละ 80-90 [3]โดยชนิดที่พบได้ในประเทศไทย นอกจาก งูเห่าหม้อ ที่ได้กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ยังมีงูเห่าพ่นพิษด่าง (N. atra) งูเห่าพ่นพิษสยาม (N. siamensis) และงูเห่าพ่นพิษสีทอง (N. samarensis)
ชนิดที่มีขนาดใหญ่ที่สุด คือ งูเห่าอาเช (N. ashei) พบได้ในที่ราบแห้งแล้งทางภาคเหนือและตะวันออกของเคนยา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของยูกันดา รวมทั้งภาคใต้ของเอธิโอเปียและโซมาเลีย ที่มีความยาวเต็มที่ได้ถึง 2.6 เมตร และมีพิษร้ายแรงที่สุดอีกด้วย จนเมื่อกัดครั้งเดียวสามารถฆ่าคนได้มากถึง 20 คน เป็นงูเห่าที่เพิ่งถูกจำแนกออกจากชนิดอื่นเมื่อเดือนมิถุนายน ค.ศ. 2007
3. งูสามเหลี่ยม
งูสามเหลี่ยม หรือ งูทับทางเหลือง เป็นงูพิษมีหัวกลม ลำตัวเรียวยาว1 ถึง 2เมตร ปลายหางมักทู่ บางตัวหัวแบนเล็กน้อย ลำตัวเป็นสันสามเหลี่ยมชัดเจน อันเป็นที่มาของชื่อเรียก เลื้อยช้าแต่ว่ายน้ำได้เร็ว เป็นงูที่มีความว่องไวปราดเปรียวในน้ำ สีของลำตัวเป็นปล้องดำสลับเหลืองทั้งตัว เวลากัดไม่มีการแผ่แม่เบี้ยเหมือนงูในสกุล Najaในประเทศไทยจะพบได้ทุกภาค แต่จะพบได้มากในภาคใต้ รวมถึงป่าพรุโต๊ะแดงด้วย[2] กินอาหาร จำพวก หนู, กบ, เขียด หรือปลา รวมถึงงูด้วยกันขนาดเล็กด้วย หากินในเวลากลางคืน มักขดนอนตามโคนกอไม้ไผ่, ป่าละเมาะ, พงหญ้าริมน้ำ เป็นงูที่ไม่ดุ ไม่ฉกกัด นอกจากจะมีคนเดินไปเหยียบหรือเดินผ่านขณะที่งูสามเหลี่ยมกำลังไล่กัดงูซึ่งเป็นอาหารก่อน งูกินปลา งูเขียว ปกติตอนกลางวันจะซึมเซา แต่ตอนกลางคืนจะว่องไว มีพิษทำลายระบบประสาทและโลหิตรวมกัน เมื่อถูกกัดจะมีอาการชักกระตุก ปวดช่องท้อง มีเลือดออกเป็นจุด ๆ ใต้ผิวหนัง มีเลือดออกตามไรฟันและไอเป็นเลือด
มีการแพร่ขยายพันธุ์โดยการวางไข่ครั้งละ 8-12 ฟอง
4. งูแมวเซา
เป็นงูพิษชนิดหนึ่ง ลักษณะลำตัวอ้วนป้อม ลำตัวสั้น (เมื่อโตเต็มที่จะยาวเพียง 1-1.5 เมตร) เมื่ออยู่ในลักษณะตื่นตัวมันจะสูบลมเข้าไปจนลำตัวพอง ทำเสียงร้องเหมือนแมวและส่งเสียงขู่ตลอดเวลา สามารถฉกกัดได้เร็วมาก ผู้ถูกกัดจะมีอาการเลือดไม่แข็งตัวและเลือดไหลไม่หยุด เกิดอาการไตวายเฉียบพลัน และเสียชีวิต งูแมวเซาสามารถพบได้ทั่วไปในทวีปเอเชีย ลำตัวมีสีน้ำตาลอ่อนอมเทา มีเกล็ดสีชมพูแซมบริเวณสีข้าง มีลายลักษณะทรงกลมสีน้ำตาลเข้มตลอดทั้งตัว เกล็ดมีขนาดเล็กและมีสัน หัวเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมและมีลายดำคล้ายลูกธนู มีเกล็ดเล็กละเอียดบนหัว เขี้ยวพิษมีความยาว
เป็นงูพิษชนิดหนึ่ง ลักษณะลำตัวอ้วนป้อม ลำตัวสั้น (เมื่อโตเต็มที่จะยาวเพียง 1-1.5 เมตร) เมื่ออยู่ในลักษณะตื่นตัวมันจะสูบลมเข้าไปจนลำตัวพอง ทำเสียงร้องเหมือนแมวและส่งเสียงขู่ตลอดเวลา สามารถฉกกัดได้เร็วมาก ผู้ถูกกัดจะมีอาการเลือดไม่แข็งตัวและเลือดไหลไม่หยุด เกิดอาการไตวายเฉียบพลัน และเสียชีวิต งูแมวเซาสามารถพบได้ทั่วไปในทวีปเอเชีย ลำตัวมีสีน้ำตาลอ่อนอมเทา มีเกล็ดสีชมพูแซมบริเวณสีข้าง มีลายลักษณะทรงกลมสีน้ำตาลเข้มตลอดทั้งตัว เกล็ดมีขนาดเล็กและมีสัน หัวเป็นรูปทรงสามเหลี่ยมและมีลายดำคล้ายลูกธนู มีเกล็ดเล็กละเอียดบนหัว เขี้ยวพิษมีความยาว
สามารถโตเต็มที่ได้ 120-166 เซนติเมตร พบกระจายพันธุ์ในวงกว้าง ตั้งแต่อนุทวีปอินเดีย, เอเชียตะวันออก ในภาคใต้ของจีนจรดเกาะไต้หวัน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถูกตั้งชื่อสามัญในภาษาอังกฤษและชื่อวิทยาศาสตร์เพื่อเป็นเกียรติแก่ แพทริก รัสเซลล์ นักฟิสิกส์และนักธรรมชาติวิทยาชาวสกอตแลนด์
มีพฤติกรรมชอบอยู่ตามที่ราบแห้ง ๆ เชิงเขาที่เป็นดินปนทราย ตามที่ดอน หรือซ่อนตัวในซอกหิน โพรงดิน ใต้กอหญ้าใหญ่ ๆ ไม่ชอบย้ายที่อยู่บ่อย ๆ ปกติไม่เลื้อยขึ้นต้นไม้ ออกหากินไม่ไกลจากที่อยู่ เป็นงูที่มีความเชื่องช้าไม่ปราดเปรียว มีอุปนิสัยดุ เมื่อถูกรบกวนจะส่งเสียงขู่ ชอบความเย็น แต่ไม่ชอบน้ำ มักออกหากินในเวลากลางคืน แต่ในสถานที่ที่มีความเย็น ก็อาจออกหากินในเวลากลางวันด้วย สำหรับในประเทศไทย พบได้ชุกชุมที่สุดคือแถบจังหวัดในภาคกลางและภาคตะวันออก[4] กินอาหาร จำพวกหนูหรือสัตว์เลื้อยคลานที่มีขนาดเล็กชนิดต่าง ๆ เป็นงูที่ออกลูกเป็นตัว ครั้งละประมาณ 20-30 ตัว (สูงสุด 63 ตัว) โดยจะผสมพันธุ์ช่วงเดือนตุลาคมถึงเดือนธันวาคม และไปออกลูกช่วงฤดูร้อน ลูกงูแรกเกิดมีน้ำหนัก 7.2– 14.4 กรัม และความยาวโดยเฉลี่ย 24-30 เซนติเมตร
เป็นงูที่มีพิษต่อผลการแข็งตัวของเลือด Factor X และ Factor V โดยตรง โดยจะไปกระตุ้น prothrombin เป็นthrombin ซึ่งทำให้เกิดการสลายไฟบริโนเจนเป็นไฟบรินในกระแสเลือด จึงทำให้เกิดเลือดออกง่าย เนื่องจากองค์ประกอบในการแข็งตัวของเลือด ถูกใช้หมดไป นอกจากนี้แล้วพิษของงูแมวเซายังมีผลต่อไต ทำให้เกิดอาการไตวายได้ และยังมีฤทธิ์ในการทำลายเซลล์เม็ดเลือดแดงโดยตรง[6] โดยอาการของผู้ที่ถูกกัดจะแสดงออกดังนี้ คือ มีอาการปวดและมีอาการบวมมาก อาการบวมเกิดเกิดขึ้นได้ภายใน 2-3 นาทีภายหลังถูกกัด มักจะมีรอยเขี้ยว 2 จุดซึ่งมีเลือดไหลออกตลอดเวลา และบริเวณรอบแผลจะมีสีคล้ำบริเวณโดยรอบเขี้ยวจะบวมอย่างชัดเจนภายใน 15-20 นาที และเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งบริเวณที่ถูกกัดบวมหมดภายในเวลา 12-24 ชั่วโมง และอาจเริ่มพองและมีเลือดออก ผู้ที่ได้รับพิษมากจะมีอาการของเลือดออกง่ายภายในเวลา 2-3 ชั่วโมง เช่น เลือดออกเป็นจ้ำ ๆ บริเวณผิวหนัง เลือดออกตามไรฟัน ไอมีเสมหะปนเลือด ถ่ายอุจจาระเป็นสีดำ ถ่ายปัสสาวะเป็นเลือด เลือดออกจะเป็นมากขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งความดันโลหิตต่ำ ไตวายและเสียชีวิตลงในที่สุด
5. งูกะปะ
งูกะปะเป็นงูพิษที่พบได้ทุกภาคของไทย โดยเฉพาะในภาคใต้ เท่านั้น จัดเป็นงูที่มีพิษร้ายแรงที่สุดของไทย
งูกะปะเป็นงูพิษที่พบได้ทุกภาคของไทย โดยเฉพาะในภาคใต้ เท่านั้น จัดเป็นงูที่มีพิษร้ายแรงที่สุดของไทย
ลักษณะหัวเป็นรูปสามเหลี่ยม คอเล็ก ลำตัวอ้วน หางเรียวสั้น มีลายเป็นรูปเหมือนหลังคาบ้านอยู่ด้านข้างตลอดลำตัว มีสีเทาอมชมพูลายสีน้ำตาลเข้ม เกล็ดมีขนาดใหญ่ จะงอยปากงอนขึ้นข้างบน หากินเวลาพลบค่ำและกลางคืน โดยเฉพาะในเวลาที่มีความชื้นในอากาศสูง เช่น หลังฝนตก ชอบอาศัยในดินปนทรายที่มีใบไม้หรือเศษซากไม้ทับถมกันเพื่อซ่อนตัว เป็นงูที่ไม่ปราดเปรียว เวลาตกใจจะงอตัวหรือขดนิ่ง แต่ฉกกัดรวดเร็วมาก กินอาหารได้แก่ สัตว์ขนาดเล็ก เช่น หนู, นก หรือสัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็ก มีความยาวเต็มที่ประมาณ 1 เมตร ออกไข่ครั้งละ 10-20 ฟองในตัวที่มีสีคล้ำเรียกว่า "งูปะบุก"
พบกระจายพันธุ์ทั่วไปในภูมิภาคอินโดจีนไปจนถึงแหลมมลายู สำหรับในประเทศไทยพบได้ทั่วทุกภาค แต่จะพบมากที่สุดในภาคใต้ เป็นงูที่ปรับตัวให้อาศัยอยู่ในพื้น ๆ ที่มีการทำเกษตรกรรมได้ เช่น สวนยางพาราหรือสวนปาล์มน้ำมัน จึงมักจะมีผู้ถูกกัดอยู่บ่อย ๆ นับเป็นงูพิษที่มีอันตรายต่อมนุษย์มากที่สุดที่พบในประเทศไทย ซึ่งพิษของงูกะปะนั้นมีผลต่อระบบเลือด ทำให้เลือดออกมากผิดปกติ เมื่อถูกกัดภายใน 10 นาทีหลังบริเวณรอบแผลที่ถูกกัดจะบวมขึ้นย่างรวดเร็วจนกระทั่งแขนหรือขาข้างนั้นบวมไปหมดภายใน 1 ชั่วโมง โดยในรอยเขี้ยวจะมีเลือดไหลตลอดเวลา บริเวณแขนขาที่บวมจะมีสีเขียวคล้ำ ผิวหนังเกิดพองตอนแรกมีน้ำใสต่อมาภายหลังมีเลือด ภายหลังถูกกัดไม่กี่วันรอยเขี้ยวจะเกิดการเน่า ทำให้ผิวหนังมีเลือดออกเป็นรอยคล้ำ เลือดออกทางเดินอาหาร ผู้ที่โดนกัดจะเสียชีวิตได้จากความดันโลหิตต่ำ ซึ่งความดันโลหิตต่ำ เกิดจากการเสีนเลือดนั่นเอง
6. งูเขียวหางไหม้
งูเขียวหางไหม้ (Green pit viper) จัดเป็นงูพิษชนิดไม่รุนแรง มีรูปร่างโดยรวม คือ มีหัวยาวมนใหญ่เป็นรูปสามเหลี่ยม คอเล็ก ตัวอ้วนสั้น ปลายหางมีสีแดง ลำตัวมีสีเขียวอมเหลืองสด บางตัวมีสีเขียวอมน้ำเงิน หางสีแดงสด บางตัวมีหางสีแดงคล้ำเกือบเป็นสีน้ำตาล อันเป็นที่มาของชื่อ จัดเป็นงูพิษอ่อน ผิดไปจากงูสกุลหรือชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน โดยผู้ที่ถูกกัดจะไม่ถึงกับเสียชีวิต นอกจากเสียแต่ว่ามีโรคหรืออาการอื่นแทรกแซง โดยผู้ที่ถูกกัดจะมีอาการปวดอย่างรุนแรงทันทีที่ถูกกัด แล้วค่อย ๆหายใน 5-6 ชั่วโมง บริเวณที่ถูกกัดจะบวมอย่างรวดเร็วในระยะ 3-4 วันแรก จากนั้นจะค่อย ๆ ยุบบวมในเวลา 5-7 วัน อาจจะมีเลือดออกจากรอยเขี้ยว แต่ไม่มาก หากมีอาการมากกว่านี้ถือว่าเป็นอาการหนัก
งูเขียวหางไหม้ (Green pit viper) จัดเป็นงูพิษชนิดไม่รุนแรง มีรูปร่างโดยรวม คือ มีหัวยาวมนใหญ่เป็นรูปสามเหลี่ยม คอเล็ก ตัวอ้วนสั้น ปลายหางมีสีแดง ลำตัวมีสีเขียวอมเหลืองสด บางตัวมีสีเขียวอมน้ำเงิน หางสีแดงสด บางตัวมีหางสีแดงคล้ำเกือบเป็นสีน้ำตาล อันเป็นที่มาของชื่อ จัดเป็นงูพิษอ่อน ผิดไปจากงูสกุลหรือชนิดอื่นในวงศ์เดียวกัน โดยผู้ที่ถูกกัดจะไม่ถึงกับเสียชีวิต นอกจากเสียแต่ว่ามีโรคหรืออาการอื่นแทรกแซง โดยผู้ที่ถูกกัดจะมีอาการปวดอย่างรุนแรงทันทีที่ถูกกัด แล้วค่อย ๆหายใน 5-6 ชั่วโมง บริเวณที่ถูกกัดจะบวมอย่างรวดเร็วในระยะ 3-4 วันแรก จากนั้นจะค่อย ๆ ยุบบวมในเวลา 5-7 วัน อาจจะมีเลือดออกจากรอยเขี้ยว แต่ไม่มาก หากมีอาการมากกว่านี้ถือว่าเป็นอาการหนัก
เป็นงูที่เลื้อยช้า ๆ ไม่รวดเร็ว มีนิสัยดุและฉกกัดเมื่อเข้าใกล้ ชอบอาศัยตามซอกชายคา, กองไม้, กระถางต้นไม้, กอหญ้า ออกหากินในเวลากลางคืนทั้งบนต้นไม้ และตามพื้นดินที่มีหญ้ารก ๆ โดยกิน นก, จิ้งจก, ตุ๊กแก, สัตว์ฟันแทะ รวมถึงสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำต่าง ๆ เป็นอาหาร ขณะเกาะนอนบนกิ่งไม้ จะใช้ลำตัวและหางรัดพันยึดกับกิ่งไม้ไว้ โดยปกติ เป็นงูที่ออกลูกเป็นตัวครั้งละประมาณ 8-12 ตัว แต่ก็มีบางชนิดเหมือนกันที่ออกลูกเป็นไข่
พกระจายพันธุ์ทั่วไปในภูมิภาคเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ จนถึงหมู่เกาะแปซิฟิก พบประมาณ 35 ชนิด ในประเทศไทย พบชุกชุมในภาคกลางและภาคตะวันออก เช่น งูเขียวหางไหม้ท้อเหลือง (T.trigonocephalus),
งูเขียวหางไหม้ลายเสือ (T. purpureomaculatus), งูหางแฮ่มกาญจน์ (T. kanburiensis), งูปาล์ม (T.puniceus) เป็นต้น โดยมีชนิดที่ค้นพบใหม่ คือ งูเขียวหางไหม้ภูเก็ต (T. phuketensis) ที่พบในป่าดิบชื้น ในจังหวัดภูเก็ต เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ. 2552
1. แมงมุมแม่ม่ายดำ
แมงมุมแม่ม่ายดำ (black widow spider) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Latrodectus mactans เป็นแมงมุมขนาดเล็ก พบได้ในหลายประเทศ แต่มีชุกชุมมากในทวีปอเมริกาใต้และทางตะวันตกเฉียงใต้ของทวีปออสเตรเลีย ชื่อของแมงมุมชนิดนี้สื่อถึงพฤติกรรมที่แมงมุมตัวเมียมักจะกินแมงมุมตัวผู้หลังจากผสมพันธุ์
คนมักถูกกัดได้จากการไปสัมผัสโดยบังเอิญ ส่วนใหญ่พบใยแมงมุมชนิดนี้อยู่ตามมุมประตูหรือหน้าต่าง โรงรถ หรือแม้แต่ในห้องน้ำ จึงอาจทำให้คนถูกแมงมุมกัดบริเวณอวัยวะเพศได้ด้วย
แมงมุมแม่ม่ายดำตัวเมียจะมีความยาวประมาณ 1-2 เซนติเมตร ชื่อของแมงมุมชนิดนี้ สื่อถึงพฤติกรรมที่แมงมุมตัวเมียมักจะกินแมงมุมตัวผู้หลังจากผสมพันธุ์ แมงมุมแม่ม่ายดำจะมีความยาวประมาณขนาดครึ่งถึงหนึ่งนิ้ว มีสีดำตัวกลม ที่ท้องจะมีลายเป็นรูปนาฬิกาทรายสีแดง ส่วนตัวผู้จะมีขนาดเล็กกว่าตัวเมียประมาณ 20 เท่า และมีสีน้ำตาล ไม่พบลักษณะนาฬิกาทรายที่ท้องของตัวผู้
แมงมุมแม่มายดำชอบอยู่ในที่อับแสง แห้ง ไม่มีลม เช่น ตามรั้ว หรือในกองใบไม้ ชอบออกหากินกลางคืน แต่เฉพาะแมงมุมตัวเมียเท่านั้น ที่สามารถกัดมนุษย์ได้ เนื่องจากตัวผู้ตัวเล็กและกรามไม่แข็งแรงพอ พิษของแมงมุมแม่ม่ายดำจะออกฤทธิ์กับระบบประสาท มีความรุนแรงกว่าพิษงูส่วนใหญ่ มักเริ่มแสดงอาการหลังถูกกัดประมาณ 20 นาทีถึง 1 ชั่วโมง โดยบริเวณที่ถูกกัดอาจจะมีอาการแดงเพียงเล็กน้อย แต่อาการปวดเฉพาะที่จะตามมาด้วยตะคริวรุนแรงที่อาจเป็นทั่วตัว ปวดท้อง อ่อนแรง มือสั่น ปวดกล้ามเนื้อใหญ่ๆ อย่างรุนแรง เช่น บริเวณหลัง หรือไหล่
ทั้งนี้ ถ้ามีอาการรุนแรงอาจทำให้เกิดคลื่นไส้ อาเจียน มึนศีรษะ เป็นลม เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก มีความดันโลหิตสูงขึ้น อาการรุนแรงมักพบในเด็กเล็ก หรือผู้สูงอายุ อาการปวดบริเวณท้องอาจคล้ายคลึงกับอาการไส้ติ่งอักเสบ หรือการปวดจากนิ่วในถุงน้ำดีไปอุดตันทางเดินน้ำดี อาการปวดหน้าอกอาจคล้ายคลึงกับอาการหัวใจขาดเลือดได้ การรักษาหากมีอาการปวดเพียงเล็กน้อย อาจใช้การประคบน้ำอุ่น ร่วมกับรับประทานยาแก้ปวด บริเวณผิวหนังที่ถูกกัดจะไม่มีเนื้อตาย หากมีอาการรุนแรง ควรไปตรวจที่ห้องฉุกเฉินในโรงพยาบาลใหญ่ๆ เนื่องจากส่วนใหญ่จะได้รับการฉีดยาแก้ปวดที่เป็นอนุพันธ์ของมอร์ฟีน ปัจจุบันยังไม่มียาต้านฤทธิ์ของพิษแมงมุมแม่ม่ายดำในประเทศไทย
2. แมงมุมแม่ม่ายน้ำตาล
แมงมุมแม่ม่ายน้ำตาล (brown widow spider) มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Latrodectus geometricus มีการค้นพบครั้งแรกในประเทศโคลัมเบีย ทวีปอเมริกาใต้ จากนั้นได้มีการกระจายกว้างออกไปยังทวีปอเมริกาเหนือ ทวีปแอฟริกา ทวีปออสเตรเลีย รายงานพบที่ทวีปเอเชียโดยเริ่มจากประเทศฟิลิปปินส์ ญี่ปุ่นและอินเดีย ในประเทศไทยมีรายงานพบที่จังหวัด กรุงเทพมหานคร นนทบุรี สมุทรสงคราม ราชบุรี เชียงใหม่ พะเยา แพร่ ลำพูน ลำปาง พิจิตร ชัยนาท ระยอง จันทบุรี นครราชสีมา และหนองบัวลำภู
แมงมุมชนิดนี้ไม่มีนิสัยก้าวร้าว เมื่อถูกรบกวนจะวิ่งหนีเข้าหาซอกที่กำบังในรังนอนของมันหรือทิ้งตัวลงไปแกล้งตายที่พื้น ทำให้แมงมุมชนิดนี้มีโอกาสกัดคนน้อยมาก ส่วนใหญ่ผู้ที่ถูกกัดเกิดจากไปสัมผัสหรือกดทับตัวแมงมุมให้ได้รับบาดเจ็บจึงถูกกัด
มีขนาดเล็กว่าแมงมุมแม่ม่ายดำเล็กน้อย มีสีน้ำตาล ตัวกลม ที่ท้องจะมีลายเป็นรูปนาฬิกาทรายสีส้มหรือสีเหลือง และขาเป็นสีน้ำตาลสลับขาวแมงมุมแม่หม้ายน้ำตาลจะมีส่วนของร่างกาย หลัก ๆ
2 ส่วน เหมือนแมงมุมทั่วไป คือ ส่วนหัวและท้อง ขนาดของตัวมีเส้นผ่านศูนย์กลาง
ประมาณ 1 เซนติเมตร
จะสังเกตได้ว่าท้องจะกลมป่องมีขนาดใหญ่มากกว่าหัวหลายเท่า
ด้านท้องมีลวดลายคล้ายนาฬิกาทรายสีส้ม ด้านหลังมีสีน้ำตาลสลับขาวลายเป็นริ้ว ๆ
ลักษณะครึ่งวงกลม โดยจะมีลายนูนบนท้องเป็นริ้วสีน้ำตาลสลับสีขาวอ่อน ๆ
ตรงริ้วเป็นจุดสามจุด
เรียงกันสองแถว
อวัยวะส่วนที่สร้างใยจะยื่นจากส่วนของร่างกายอยู่ด้านหลังของท้อง
โดยจะดูคล้ายกับกรวยเล็ก ๆ รวมกันเป็นกลุ่ม
ตัวเต็มวัยของแมงมุมเพศเมียจะมีขนาดตั้งแต่ส่วนหัวถึงปลายท้องประมาณ 0.5 นิ้ว
ขายาวประมาณ 1.5 นิ้ว แต่อย่างไรก็ตาม
เพศเมียที่พร้อม
จะวางไข่
ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของส่วนท้องจะขยายถึง 0.5 นิ้ว เพศผู้จะมีขนาดเล็กกว่าเพศเมีย
โดยพบว่ามีขนาดประมาณ 0.25 นิ้ว ส่วนขายาว 0.5 นิ้ว
แมงมุมชนิดนี้จะสร้างใยอย่างไม่เป็นระเบียบลักษณะพันกันยุ่งเหยิง ชอบสร้างรังอยู่ในที่ต่ำ
ๆ เช่น ห้องใต้ดิน ใต้โต๊ะ เก้าอี้ ตามพื้น และที่เก็บของที่ต่ำกว่า 1
เมตร ส่วนบริเวณนอกบ้านพบได้ตามกองฟืนเก่า ๆ และซอกหินที่แตก
โดยอาศัยอยู่ในพื้นที่ส่วนเล็ก ๆ ที่สงบเงียบในรัง
และจะค้นหาแมลงที่มาติดใยแมงมุมโดยการสั่นของรัง แมงมุมชนิดนี้เป็นแมงมุมขี้ขลาด
มักหลบซ่อน
มีพิษรุนแรงทำลายระบบเลือด
และระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เวลาแมงมุมแม่หม้ายน้ำตาลกัด จะปล่อยพิษออกมาไม่หมด
โดยจะปล่อยพิษออกมาในระดับ 1 ppm (1 ในล้านส่วน)
ความร้ายแรงอาจจะไม่เท่าแมงมุมแม่หม้ายดำ เพราะแมงมุมแม่หม้ายดำ
กัดแล้วปล่อยพิษออกมาทั้งหมด หากถูกกัดหลายตัวพร้อมกันปริมาณพิษก็จะเพิ่มมากขึ้น ตัวเมียจะวางไข่ที่มีลักษณะเป็นทรงกลมหรือหยดน้ำตา
ถุงไข่จะมีขนาดประมาณ 0.5 นิ้ว
ในถุงไข่แต่ละถุงจะมีไข่ประมาณ 200-400 ฟอง (หรืออาจมากกว่านี้) ตัวเมียตัวเดียวสามารถผลิตถุงไข่ได้ประมาณ 4-9
ถุง ในช่วงที่ไม่ได้มีการผสมพันธุ์
ตัวเมียจะคอยเฝ้าคุ้มกันถุงไข่
โดยจะคอยเคลื่อนย้ายถุงไข่จากตำแหน่งหนึ่งไปยังอีกตำแหน่งหนึ่งเพื่อรักษาอุณหภูมิและความชื้น
่ตัวอ่อนแมงมุมแม่หม้ายน้ำตาลจะออกจากถุงไข่ประมาณ 8-10 วัน หลังจากวางไข่
เมื่อออกมาจากถุงไข่ประมาณ 2-4 สัปดาห์
ลูกแมงมุมจะกระจายตัวออกไปโดยลอยตัวไปตามกระแสลมและจะลอกคราบประมาณ 7 ครั้ง
จึงกลายเป็นแมงมุมตัวเต็มวัย
ซึ่งจะขึ้นอยู่กับตำแหน่งทางภูมิศาสตร์และฤดูกาลของปีนั้น ตัวอ่อนของแมงมุมที่มีชีวิตรอดจะเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัยในระยะเวลาสั้น
ๆ เพียง 3-4 เดือน โดยขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของสภาพอากาศ ความชื้น และอาหาร
วงจรชีวิตของแมงมุมแม่หม้ายน้ำตาล ตัวอ่อนจะมีชีวิตในช่วงฤดูหนาวเหมือนแมงมุมตัวเต็มวัย
และจะเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัย
ในช่วงฤดูใบไม้ผลิ
สำหรับการผลิตถุงไข่จะเริ่มต้นหลังจากผ่านพ้นช่วงฤดูใบไม้ผลิ
3. แมงมุมสันโดษสีน้ำตาล
แมงมุมสันโดษสีน้ำตาล (brown recluse spider) เป็นแมงมุมที่พบได้ทางตะวันออกของทวีปอเมริกาเหนือ มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Loxosceles reclusa มีขนาดเล็กประมาณ 6-20 มิลลิเมตร (ขนาดเล็กกว่าแมงมุมแม่ม่ายดำ) ลักษณะลำตัวสีน้ำตาลอ่อนหรือสีเหลืองเข้ม ขนาดเล็ก มีลักษณะเด่นคือด้านหลังของแมงมุมตรงช่วงศีรษะถึงอก (cephalothorax) จะมีลายสีออกดำรูปคล้ายไวโอลิน โดยด้ามจับหันไปด้านตรงข้ามกับศีรษะ จึงอาจเรียกว่า violin spider หรือ fiddleback spider มีขาเรียวยาวเมื่อเทียบกับขนาดลำตัว ซึ่งมีคนเรียกชื่อผิดว่า แมงมุมแม่ม่ายสีน้ำตาล แมงมุมชนิดนี้ชอบอยู่ในที่มืด แห้ง และสงบ เช่นเดียวกับแมงมุมแม่ม่ายดำ และจะออกจากที่อยู่อาศัยเพื่อล่าสัตว์อื่นในเวลากลางคืน
แมงมุมชนิดนี้มีพิษต่อระบบเลือด ซึ่งพิษจะกระจายไปทั่วร่างกายในเวลาเป็นนาที ทำให้เกิดความผิดปกติในอวัยวะหลายๆ ส่วน โดยมีอาการแสดงทำให้เกิดเม็ดโลหิตแดงแตก เกล็ดเลือดต่ำ มีการแข็งตัวของเกล็ดเลือดกระจายทั่วร่างกาย (disseminated intravascular coagulation) อันตรายต่ออวัยวะภายในอื่นๆ ที่อาจพบ ได้แก่ เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ไข้ ผื่นแดง ปวดกล้ามเนื้อและข้อ อันตรายรุนแรงมักเกิดในเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และภูมิคุ้มกันอ่อนแอ โดยผู้ที่ถูกกัดและเสียชีวิตมักเป็นเด็กอายุต่ำกว่า 7 ปี และผู้ป่วยภูมิคุ้มกันบกพร่อง เมื่อถูกกัดมักจะไม่รู้สึกเจ็บ แต่มักเริ่มมีอาการปวดและคันบริเวณที่ถูกกัดหลัง 2-8 ชั่วโมง เกิดเป็นตุ่มน้ำพอง อาการปวดจะเป็นมากขึ้นเรื่อยๆ และทำให้ผิวหนังบริเวณที่ถูกกัดตายได้ถึงร้อยละ 37 เกิดเป็นแผลเป็นขนาดใหญ่ได้ถึง 10 นิ้ว
แมงป่อง (อังกฤษ: Scorpion) จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง จำพวกสัตว์ขาปล้อง เป็นสัตว์มีมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ซึ่งมีการค้นพบซากดึกดำบรรพ์ของแมงป่องที่มีอายุถึง 440 ล้านปี ตั้งแต่ยุคซิลลูเรียน เช่น Archaeobuthus estephani หรือ Protoischnurus axelrodorum [1] ซึ่งแมงป่องในยุคโบราณที่มีความยาวที่สุดยาวเกือบ 90 เซนติเมตร
แมงป่อง ในประเทศไทย ที่พบเห็นกันบ่อยๆ
แมงป่องช้าง (Heterometrus laoticus) เป็นแมงป่องที่พิษอ่อน เมื่อโดนค่อยอาจจะมีอาการคัน เล็กน้อย คล้ายผึ้งต่อย
สามารถพบเห็นได้ทั่วทุกภาคของไทย สามารถนำมาปรุงอาหารได้ (แต่ไม่รู้ว่าอร่อยไหม เพราะผมไม่เคยกิน)
แมงป่องช้างเป็นสัตว์มีเปลือกแข็งหุ้ม
ลำตัวเรียว มีขาจำนวน 4 คู่ อวัยวะที่โดดเด่น คือ "ก้ามใหญ่" (pedipalps)
1 คู่ มีส่วนหัวและอกอยู่รวมกัน เรียกว่า prosoma ทำหน้าที่หนีบอาหารหรือจับเหยื่อ
มีตาบนหัวหนึ่งคู่ และตาข้างอีก 3 คู่ตรงกลางหลัง (middle dorsal) และขอบข้างส่วนหน้า
(anterolateral) ตรงปากมี "ก้ามเล็ก" (chelicera)
1 คู่ ส่วนถัดมาเรียกว่า mesosoma ประกอบด้วยปล้อง
7 ปล้อง ซึ่งปล้องที่ 3 มีอวัยวะสำคัญคือ "ช่องสืบพันธุ์" (genital
operculum) และมีอวัยวะที่เรียกว่า pectines หรือ
pectens 1 คู่ มีรูปร่างคล้ายหวี
ทำหน้าที่รับความรู้สึกจากการสั่นของพื้นดิน ส่วนสุดท้ายคือส่วนหางเรียวยาว
เรียกว่า metasoma ประกอบด้วยปล้อง 5 ปล้องกับปล้องสุดท้าย
คือ"ปล้องพิษ" มีลักษณะพองกลมปลายเรียวแหลม คล้ายรูปหยดน้ำกลับหัว
บรรจุต่อมพิษ มีเข็มที่ใช้ต่อย เรียกว่า "เหล็กไน" (sting apparatus)
สำหรับฉีดพิษ
แม้ว่าแมงป่องมีตาหลายคู่
แต่มีประสิทธิภาพการมองเห็นต่ำมาก และไม่ไวพอจะรับแสงกระพริบได้ เช่น
แสงแฟลชจากกล้องถ่ายรูป และต้องใช้เวลานานในการปรับตาให้ตอบสนองต่อแสง
สังเกตได้เมื่อมันถูกนำออกจากที่มืด ต้องใช้เวลานับนาทีจึงจะเริ่มเคลื่อนไหว
ข้อด้อยเรื่องสายตาได้ถูกทดแทนด้วยสิ่งอื่น
หากสังเกตให้ดีจะพบว่าทั่วตัวแมงป่องปกคลุมด้วยเส้นขนนับไม่ถ้วน
โดยเฉพาะบริเวณปล้องพิษ ขนเหล่านี้รับความรู้สึกจากการเคลื่อนไหวของอากาศ
ทำให้แมงป่องไวต่อเสียงมาก ดังนั้นจึงไม่แปลกที่แมงป่องจะชูหางขึ้นทันทีที่มีเสียง
หรือมีการเคลื่อนไหวของสิ่งต่างๆ รอบตัว เมื่อมีเหยื่อหรือศัตรูเข้ามาใกล้
และสามารถฉีดพิษสู่เหยื่อได้อย่างแม่นยำ
ลักษณะพิเศษของแมงป่อง (ไม่เฉพาะแมงป่องช้าง)
ที่ต่างไปจากสัตว์มีเปลือกแข็งชนิดอื่นๆ เกิดจากสารชนิดหนึ่งซึ่งยังไม่ทราบแน่นอน
ฝังตัวอยู่เป็นชั้นบางๆ ในเปลือกของแมงป่อง
สารชนิดนี้ทำให้เปลือกแมงป่องเรืองแสงสีเขียวภายใต้แสง UV ถึงแม้แมงป่องตายไปแล้วเป็นเวลานาน
คุณสมบัติเรืองแสงนี้ก็ยังคงอยู่ จากฟอสซิลแมงป่องอายุหลายร้อยปีพบว่า
แม้ว่าเปลือกจะไม่คงรูปร่างแล้ว แต่สารเรืองแสงยังคงฝังตัวติดกับหินฟอสซิล
นอกจากนี้ ตัวอย่างดอง หรือแม้กระทั่งแมงป่องทอดที่มีขายทั่วไป
ยังคงมีการเรืองแสงอยู่แทบไม่แตกต่างจากแมงป่องที่มีชีวิตแม้แต่น้อย
แมงป่องบ้าน (Isometrus maculatus) เป็นแมงป่องขนาดเล็ก และเป็นแมงป่องที่มีพิษรุนแรง ที่สุดของประเทศไทย
เมื่อโดนต่อย อาจจะมีอาการปวดแดง ปวด และ อาจจะมีไข้ขึ้น แต่ไม่ถึงกับเสียชีวิต มักเจอตามจอมปลวก เนื่องจากชอบกินปลวกเป็นพิเศษ
แมงป่องในประเทศไทยยังมีอีกเกือบๆ 100 ชนิด แต่เนื่องจากอาศัยอยู่ในป่าเป็นส่วนมาก จึงไม่ค่อยมีโอกาศได้พบเจอบ่อยๆ
และ ไม่มีรายงานว่า แมงป่องในประเทศไทย ชนิดไหนที่มีพิษรุนแรง จนสามารถฆ่าคนได้ (นอกจาก อาการแพ้รุนแรง ในรายบุคคล)
แมงป่องพิษอ่อน ของต่างประเทศ ชนิดอื่นๆ (สังเกตุได้เช่นกันว่า ก้าม ใหญ่กว่า หาง)
ตะขาบ (Centipede)
ตะขาบ จัดอยู่ใน Class Chilopoda เป็นสัตว์ขาข้อที่พบได้ในเขตร้อนชื้น อาศัยอยู่บนบก ตะขาบมีขนาดความยาวของลำตัวตั้งแต่ 3 - 8 ซม. ขนาดใหญ่ที่สุดคือชนิด Scolopendra heros มีความยาว 8 - 10 " ลำตัวแบนราบ มีปล้อง 15 - 100 ปล้อง แต่ละปล้องมีขา 1 คู่ ส่วนหัวแยกจากลำตัวชัดเจน มีหนวด 1 คู่ โดยมีเขี้ยวพิษ 1 คู่ ซึ่งดัดแปลงมาจากปล้องแรกของลำตัว เขี้ยวพิษเชื่อมต่อกับต่อมพิษ เมื่อกัดเหยื่อจะปล่อยพิษออกมา ทำให้เหยื่อเจ็บปวด และเป็นอัมพาต ตะขาบวางไข่ในที่ชื้นหรือต้นพืชหญ้า ใช้เวลาในการเจริญเติบโตนาน ลอกคราบ 10 ครั้ง ตัวเต็มวัยมีอายุ 3 - 5 ปี ในเวลากลางวันจะซ่อนอยู่ในที่เย็นๆ ใต้ก้อนหิน ออกหาเหยื่อในเวลากลางคืน กินแมลงเป็นอาหาร เมื่อถูกตะขาบกัดจะพบรอยเขี้ยวสองรอย ลักษณะเป็นจุดเลือดออกตรงบริเวณ ที่ถูกกัด พิษของตะขาบทำให้มีการอักเสบ ปวดบวมแดงร้อน ชา เกิดอัมพาต ตรงบริเวณที่ถูกกัด ในบางรายอาจมีอาการแพ้ หรือกระวนกระวาย อาเจียน หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ มึนงง ปวดศีรษะ อาจมีการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนตรงบริเวณที่ถูกกัด อาจเป็นแผลไหม้อยู่ 2-3 วัน
พิษของตะขาบ
พิษของตะขาบประกอบด้วยสารก่อปฏิกิริยาอักเสบต่อร่างกาย ได้แก่ 5 hydroxytryptamine หรือ cytolysin ทำให้เกิดอาการบวม ปวด แดง ร้อน หากบวมมาก เช่น ที่นิ้วมือหรือนิ้วเท้าอาจกดเส้นเลือด ทำให้นิ้วขาดเลือดมาเลี้ยงจนกระทั่งนิ้วดำ เนื้อตาย ต้องตัดทิ้งได้
โดยทั่วไปพิษตะขาบไม่รุนแรงถึงกับทำให้เสียชีวิตได้ อย่างไรก็ตามมีรายงานการเสียชีวิตในเด็กหญิงฟิลิปปินส์อายุ 7 ปี 1 ราย ที่ถูกตะขาบพันธุ์ Scolopendra subspinipes ขนาดยาว 23 เซนติเมตรกัดที่บริเวณศีรษะ
http://www.tc-pestcontrol.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=539130157
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น